รักแล้วไร้เหตุผล
วันนี้นำคำถาม-คำตอบ ที่คนน่ารักคนหนึ่ง ถามกับพีนิ้วกลม มาแบ่งปันครับ ;)
บางทีฟ้าทำอะไรลงไปแบบไร้เหตุผล ทั้งๆ ที่ก่อนทำก็รู้ว่ามันไร้เหตุผลมากๆ
ไอ้อาการไร้เหตุผลเนี่ย พี่ว่ามันเกิดจากอะไรบ้าง
บางทียิ่งเรากังวลอะไรมากๆ มันจะยิ่งคิดไปต่างๆ นานา
กลายเป็นว่าคิดอะไรมากจนเกินไป บางครั้งน้อยใจ โมโหเพื่อน ทั้งๆ ที่ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร
รักทำให้คนเราไม่มีเหตุผล แต่ก็คงบอกแบบนั้นไม่ได้ใช่ไหม
เพราะสิ่งที่ทำลงไปมันก็เกิดเพราะรักเหมือนกัน
Fah
อาการไร้เหตุผลเกิดจากใช้ความรู้สึกมากเกินไป (อย่างที่เขาเรียกกันว่า "เอาแต่ใจ")
อาการมีเหตุผลมากเกินไปเกิดจากการใช้สมองมากเกินควร (หรืออาจเรียกได้ว่า "เอาแต่หัว")
โดยปกติแล้วในตอนที่อยู่ตามลำพังกรือเมื่อต้องทำอะไรคนเดียว คนเรามัก
ทำสิ่งต่างๆ ตามความรู้สึกหรือ "ตามใจ" ตัวเอง ต่างกับตอนที่มีคนอื่นอยู่ด้วย และ
ถ้าสิ่งที่เราจะทำนั้นกระทบความรู้สึกเขา เราก็มักใช้ "หัว" มาไตร่ตรองก่อนที่จะทำสิ่งๆ นั้น
แต่กับคนที่เรารักหรือคนคนที่มั่นใจว่าเขารักเรา บ่อยครั้งที่เราเอาแต่ "ใจ" และไม่ได้ใช้ "หัว" มาช่วยคิดตัดสินใจ
เรามักเอาแต่ใจกับคนใกล้ตัวมากกว่าคนที่อยู่ไกลตัวเสมอ
จะว่าไปแล้ว ทั้ง "ใจ" และ "หัว" นั้นใช้สิ่งใดสิ่งหนึ่งหนักเกินไปคงไม่ดีนัก ใช้มากเกินไปก็เป็นมนุษย์เจ้าอารมณ์
ใช้หัวมากไปก็จะกลายเป็นมนุษย์เจ้าเหตุผลหัวแข็ง
ทางที่ดีต้องรู้สึกด้วย "ใจ" ตัดสินด้วย "หัว"
ปล่อยให้ความรู้สึกของเราล่องลอยออกมา ให้มันพูดได้อย่างที่รู้สึก รับฟังความรู้สึกนั้น
แต่ขณะเดียวกันก็ใช้เหตุผลมาพิจารณาว่า เราควรทำตามความรู้สึกนั้นแค่ไหน อย่างไรดี
ทำได้แบบนี้ก็จะป็นคนไม่เอาแต่ใจ ไม่เอาแต่หัว แต่เป็นคนมีหัว+ใจ
"รัก" ไม่น่าจะทำให้คนไร้เหตุผลนะครับ
"รัก" น่าจะทำให้คนมีเหตุผลมากขึ้น
ใช้ "หัว" คิดถึง "ใจ" ของคนที่เรารักมากขึ้นน่ะครับ
อ้างอิง หนังสือ ปอกกล้วยในมหาสมุทร นิ้วกลม
แวะมาทักทาย
ต้องขอโทษด้วยนะครับ ช่วงนี้ไม่ได้อัพเดทเลย
ยังไงแล้วจะนำบทความดีๆ มาฝาก อดใจรออีกนิดครับ
ขอขอบคุณผู้ที่แวะเข้ามาเยี่ยมชม ไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือบังเอิญ ^__^
สิ่งที่เรามองข้าม
บทความนี้เขียนขึ้นโดย จอร์จ คอลลิน ซึ่งเป็นดาราตลกที่โด่งดัง เขาเขียนขึ้นในวันที่ 11 กันยายน (ตึกเวิรด์เทรดถล่ม) หลังจากที่ทราบว่าภรรยาของเขาเสียชีวิตในตึกนั้นด้วย.. ทำ..ในสิ่งที่อยากจะทำ อยากให้ทุกคนได้อ่าน ข้อความนี้ มีความหมายดีนะ
ทุกวันนี้เรามีตึกสูงขึ้น มีถนนกว้างขึ้นแต่ความอดกลั้นน้อยลง
เรามีบ้านใหญ่ขึ้น แต่ครอบครัวของเรากลับเล็กลง
เรามียาใหม่ ๆ มากขึ้น แต่สุขภาพกลับแย่ลง
เรามีความรักน้อยลง แต่มีความเกลียดมากขึ้น
เราไปถึงโลกพระจันทร์มาแล้ว แต่เรากลับพบว่า
แค่การข้ามถนนไปทักทายเพื่อนบ้านกลับยากเย็น…………
เราพิชิตห้วงอวกาศมาแล้ว แต่แค่ห้วงในหัวใจกลับไม่อาจสัมผัสถึง
เรามีรายได้สูงขึ้น แต่ศีลธรรมกลับตกต่ำลง
เรามีอาหารดี ๆ มากขึ้นแต่สุขภาพแย่ลง
ทุกวันนี้ทุกบ้านมีคนหารายได้ได้ถึง 2 คน แต่การหย่าร้างกลับเพิ่มมากขึ้น
ดังนั้น……จากนี้ไป……ขอให้พวกเรา อย่าเก็บของดี ๆ ไว้โดยอ้างว่าเพื่อโอกาสพิเศษ
เพราะทุกวันที่เรายังมีชีวิตอยู่คือ ……โอกาสที่พิเศษสุด……แล้ว
จงแสวงหา การหยั่งรู้
จงนั่งตรงระเบียงบ้านเพื่อชื่นชมกับการมีชีวิตอยู่ โดยไม่ใส่ใจกับความ…..อยาก…
จงใช้เวลากับครอบครัว เพื่อนฝูงคนที่รักให้มากขึ้น…….
กินอาหารให้อร่อย ไปเที่ยวในที่ที่อยากจะไป
ชีวิตคือโซ่ห่วงของนาทีแห่งความสุขไม่ใช่เพียงแค่การอยู่ให้รอด
เอาแก้วเจียระไนที่มีอยู่มาใช้เสีย
น้ำหอมดี ๆ ที่ชอบ จงหยิบมาใช้เมื่ออยากจะใช้
เอาคำพูดที่ว่า…….สักวันหนึ่ง……..ออกไปเสียจากพจนานุกรม
บอกคนที่เรารักทุกคนว่าเรารักพวกเขาเหล่านั้นแค่ไหน
อย่าผลัดวันประกันพรุ่ง ที่จะทำอะไรก็ตามที่ทำให้เรามีความสุขเพิ่มขึ้น
ทุกวัน ทุกชั่วโมง ทุกนาที มีความหมาย
เราไม่รู้เลยว่าเมื่อไรมันจะสิ้นสุดลง
และเวลานี้….
ถ้าคุณคิดว่าคุณไม่มีเวลาที่จะ copy ข้อความนี้ไปให้คนที่คุณรักอ่าน…… แล้วคิดว่า….สักวันหนึ่ง………..ค่อยส่ง.. จงอย่าลืมคิดว่า….สักวันหนึ่ง…..วันนั้น คุณอาจไม่มีโอกาสมานั่งตรงนี้เพื่อทำอย่างที่คุณต้องการอีกก็ได้
อ้างอิง http://happyhappiness.monkiezgrove.com/2011/01/06/