Bang-Punn

แบ่งปันรอยยิ้ม ^-^

การทำงานให้มีความสุข

ข้อคิดเพื่อการทำงานอย่างมีความสุข

1. หาจุดสนุกของงานที่ทำและบอกตัวเองพูดถึงจุดนั้นบ่อยๆ เพื่อเสริมสร้างกำลังใจ

2. ทำตัวเองให้พอใจอะไรง่ายๆ อย่าให้ต้องบังคับตัวเองมากนัก

3. อย่าเก็บเรื่องเล็กน้อยมาใส่ใจ อย่าเก็บเรื่องไม่เป็นเรื่องไว้ให้ทุกข์ใจ

4. ยอม รับในความแตกต่างของบุคคล อย่าถือความแตกต่างเป็นข้อขัดแย้ง หรือทำให้เกิดความขุ่นเคือง

5. อย่าให้คำพูดตัวเองทำร้ายตัวเอง เช่นอย่าพูดในเชิงลบเกี่ยวกับตัวเอง อย่าพูดในเชิงลบเกี่ยวกับงาน และเกี่ยวกับหัวหน้าของเรา

6. ยอมรับว่าคนอื่นไม่ได้เกิดมาเพื่อเราคนเดียว ดังนั้นทุกคนย่อมกระทำ พูด หรือคิด อะไรบางอย่างที่ไม่ถูกใจเราบ้างเป็นธรรมดา

7. มองคนแง่ดี คนเราจะทำอะไรย่อมมีสาเหตุและอธิบายได้เสมอ

    ±  คนเราจะทำอะไรย่อมมีเหตุผลเสมอ

    ± สิ่งกระตุ้นอย่างเดียวกัน ย่อมก่อให้เกิดพฤติกรรมต่างกันได้

    ± อย่าเอาตัวเองตัดสินคนอื่น

8. ทำวันนี้ให้ดีที่สุด “รักกับคนทั้งโลก ถูกโฉลกหรือไม่ ก็ยิ้มให้กัน” ^-^

อ้างอิง http://www.vajira.ac.th/lab/index_files/Page323.htm

ดีไม่ดี...ยากที่จะบอก





นานมาแล้ว มีพระราชาองค์หนึ่ง 
พระราชาองค์นี้มีคนสนิทคนหนึ่งที่พระองค์สนิทมาก 
และมักจะพาไปไหนมาไหนด้วยเสมอในทุกๆ ที่ 


แล้ววันหนึ่ง พระราชาก็ถูกหมาตัวหนึ่งกัดนิ้ว แผลฉกรรจ์มาก 
พระราชาจึงถามคนสนิทว่า นี่เป็นลางไม่ดีของพระองค์หรือเปล่า 
คนสนิทกลับตอบว่า "ดี หรือไม่ดี ยากที่จะบอก" 


และในที่สุด 
พระราชาก็ถูกตัดนิ้วและพระราชาก็ถามคนสนิทอีกว่า 
นี่เป็นลางไม่ดีของพระองค์หรือเปล่า 
คนสนิทกลับตอบว่า "ดี หรือไม่ดี ยากที่จะบอก" 


พระราชาโกรธมาก เลยจับคนสนิทขังไว้ในคุก 


วันหนึ่ง พระราชาก็ได้เสด็จออกป่าล่าสัตว์ 
พระองค์ทรงตื่นเต้นมาก 
แล้วก็มุ่งเข้าไปในป่า ลึกเข้าไปเรื่อยๆ 


เมื่อมารู้ตัวอีกทีก็พบว่า พระองค์ได้หลงทางเสียแล้ว 
แต่ก่อนที่อะไรจะเลวร้ายไปกว่านั้น 
พระองค์ก็ได้พบกับชนเผ่าพื้นเมืองในป่าแห่งนั้น 


คนป่าพวกนั้น ต้องการจับพระราชาไปบูชายัญ 
แต่พวกเขาก็พบว่า 
พระราชานิ้วขาดจึงรีบปลดปล่อยพระราชา 
เพราะเชื่อว่าพระราชาไม่ใช่มนุษย์ที่สมบูรณ์เลย 
และไม่เหมาะที่จะนำไปบูชายัญ 


พระราชาจึงตัดสินใจกลับพระราชวังในที่สุด 


และสุดท้าย พระองค์ก็เข้าใจคำพูดของคนสนิทที่บอกว่า 
"ดีหรือไม่ดี ยากที่จะบอก" 
เพราะถ้าพระองค์มีนิ้วครบสมบูรณ์ 
พระองค์ต้องถูกฆ่าโดยคนป่าพวกนั้นอย่างแน่นอน 


พระราชาจึงสั่งปล่อยตัวคนสนิท และขอโทษเขา 


แต่พระราชากลับประหลาดใจ 
เมื่อคนสนิทกลับไม่โกรธพระองค์เลย 
ในทางตรงข้ามเขากลับบอกว่า 


มันไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไรเลยที่ท่านขังข้าไว้ ทำไมงั้นหรือ 
เพราะว่าถ้าพระองค์ไม่ขังข้าไว้ 
ข้าก็จะต้องตามท่านไปในป่าและในเมื่อท่านไม่เหมาะจะถูกบูชายัญ 
ข้าคงจะถูกนำไปบูชายัญแทนเป็นแน่ 


อีกครั้งกับคำที่ว่า ดี หรือไม่ดี ยากที่จะบอก 


เรื่องนี้อาจกล่าวได้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในโลกนี้ 
ไม่มีการสรุปได้อย่างแน่นอนว่า ดี หรือไม่ดี 


บางครั้งสิ่งที่ดี อาจจะกลายเป็นสิ่งที่เลวร้าย 
ในขณะที่สิ่งที่เลวร้ายอาจกลายเป็นดีได้ 


สิ่งดีๆ อะไรก็ตาม ที่เกิดขึ้นกับเรา 
จงสนุกสนานกับมัน แต่อย่าไปยึดติดกับมัน 
จงคิดเสียว่ามันเป็นสิ่งที่มาสร้างความประหลาดใจให้กับชีวิตของคุณ 


อะไรต่างๆ ที่มันเลวร้าย ซึ่งเกิดขึ้นกับคุณ 
ไม่จำเป็นต้องไปเศร้าเสียใจในตอนท้าย 
มันอาจจะไม่ใช่สิ่งที่เลวร้าย 


ถ้าพวกเราเข้าใจได้อย่างนี้ พวกเราจะพบว่า 
การใช้ชีวิตนั้นไม่ใช่เรื่องยากเลย 




***ความดีมีไว้ไม่ตาย*** 
แต่ถ้าตาย...ความดีจะยังคงอยู่ 
...ตลอดไป... 

ลืม?



ผลงานชนะเลิศ ระดับอุดมศึกษา จากการประกวดโครงการ Thailand Animation Contest 2009 by Ayudhya Allianz C.P. 
ทีม เอ่อ อะ จากมหาวิทยาลัย ศิลปากร

อ่านแล้วขนลุก!!



อย่าหนีนะ ไอ้เด็กขี้ขโมย" 

เสียงผู้หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งตะโกนลั่น พร้อมกับมีเด็กคนหนึ่งกับผู้หญิงอีกคนหนึ่งวิ่งผ่านฉันกับแม่ที่กำลังซื้อเนื้อหมูในตลาดไปอย่างรวดเร็ว ทั้งแม่และฉันหันไปดูทันเห็นหน้าผู้หญิงคนนั้นแค่แวบเดียว แม่ถามฉันว่า


"อ้าว นั่นป้าร้านขายของไม่ใช่เหรอ"

" ใช่จ้ะแม่ แกวิ่งไล่ใครกันละ"

ป้าคนนั้นชื่อว่า ' ป้าหนอม' เป็นแม่ค้าขายของชำสารพัดอย่างในตัวตลาดในอำเภอที่ฉันอยู่ มีฐานะจัดว่าดีกว่าแม่ค้าคนอื่นๆ ในละแวกเดียวกัน และเป็นที่รู้จักกันว่าแกเป็นคนที่ขี้เหนียวอย่างร้ายกาจ แถมปากจัดที่สุดในตลาดอีกด้วย ใครต่อราคาของมากเกินไป หรือถามราคาแล้วไม่ซื้อ ป้าแกจะโวยวายชนิดต้องรีบเผ่นออกจากร้านแทบไม่ทันทีเดียว

เสียงเอะอะดังมากขึ้น ฉันหันไปมองป้าหนอมจับข้อมือเด็กผู้ชายคนหนึ่งอายุประมาณ 12-13 ขวบ ไล่เลี่ยกับฉันซึ่งกำลังดิ้นรนอยู่ และป้าแกกำลังจะลงไม้ลงมือ แม่จึงเดินเข้าไปถาม


"พี่หนอม มีไรหรอคะ" 
"ก็ไอ้เด็กเวรนี่นะสิ มันมา ทำทีขอซื้อยาแก้ปวดกับยาธาตุ พอฉันหยิบส่งให้ มันก็วิ่งหนีมาเลย เงินก็ไม่จ่าย"


พูดจบป้าหนอมก็ตบหัวเด็กคนนั้นอย่างแรงหนึ่งที และคงจะมีตามมาอีกหลายทีแน่ถ้าแม่ฉันไม่ห้ามไว้

"ตายแล้วพี่หนอม อย่าถึงกับลงไม้ลงมือกันเลยนะ แล้วนี่จะทำไงต่อ"

แม่รีบตัดบทเพราะเห็นว่าเรื่องราวชักจะไปกันใหญ่

"เรียกตำรวจมาเอามันไปเข้าคุกนะสิ เสียนิสัย พ่อแม่ไม่สั่งสอน ยังเด็กตัวแค่นี้ก็ริจะเป็นขโมยซะแล้ว ต่อไปก็คงต้องปล้นเขากินหละ"


ฉันสะกิดแม่ทันทีพร้อมกับมองพลางส่ายหัวน้อยๆ ทำนองว่าอย่าไปยุ่งดีกว่า แม่มองฉันแล้วมองเด็กคนนั้น ซึ่งท่าทางเหมือนกำลังจะร้องไห้ แม่นิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วหันไปพูดกับป้าหนอมว่า 

"อย่าให้ถึงอย่างนั้นเลยนะพี่หนอม เด็กมันคงอยากซื้อยาแต่ไม่มีเงินนะ เอาเป็นว่าฉันจ่ายให้ละกันนะ กี่บาทกันละ"


ในที่สุดเรื่องก็จบลง โดยการที่แม่ยอมจ่ายเงินค่ายาแก้ปวดกับยาธาตุ แล้วแม่ก็จูงเด็กคนนั้นออกมาจากตลาด แต่ป้าหนอมยังไม่วายเตือนแม่

"ใจดีกับเด็กขี้โขมยแบบนี้ ระวังจะเสียใจทีหลังนะเธอ"

แม่ไม่ได้ตอบอะไร แต่พอเดินห่าง จากร้านพอสมควรแล้วก็ถามว่า

"ทำไมหนูขโมยของป้าเขาละ"

เด็กคนนั้นเงยหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตาขึ้นมองแม่ แล้วตอบสะอึกสะอื้นว่า

"แม่ผมปวดท้องมากเลยครับ แล้วแม่ก็ไม่มีเงินไปหาหมอ ผมก็เลยต้อง..."

แม่มองหน้าเด็กคนนั้นอยู่ครู่หนึ่ง แล้วยื่นผลไม้ที่ซื้อมาให้เด็กคนนั้นถุงหนึ่ง แล้วบอกว่า

"ทีหลังอย่าโขมยของใครนะ ถ้าไม่มีเงินมาขอเงินน้าไปซื้อก็ได้นะ น้าชื่อสมพรเปิดร้านเย็บผ้าอยู่ใกล้ๆ นี่เอง ถามคนแถวนี้ก็ได้ รู้จักน้าแทบทุกคนเลยแหละ เอ้า...เอา ส้มไป ฝากคุณแม่ซิ คนป่วยนะต้องกินผลไม้มากๆ จะได้หายไวๆ รู้มั้ย"

แม่เสริมพร้อมกับยิ้ม เด็กคนนั้นอึ้งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะรับส้มพร้อมกับพูดขอบคุณแม่แล้วเดินจากไป
หลังจากนั้นพอกลับมาถึงบ้าน ฉันก็ถามแม่ทันที

"ทำไมแม่ต้องช่วยเด็กคนนันด้วยละ รู้จักกันหรอจ้ะ"

แม่ยิ้ม แล้วตอบฉันว่า

"ไม่รู้จักหรอก แต่แม่เห็นเด็กคนนั้นรับจ้างหาบขนมขายอยู่แถวบ้านเราน่ะลูก แต่แกคงจำแม่ไม่ได้หรอก แม่ซื้อขนมแกอยู่ไม่กี่ครั้งเอง"

"แต่นั่นก็ไม่ใช่เหตุผลที่จะต้องช่วยเหลือเขาถ้าเขาเป็นขโมยนี่แม่"

ฉันถามต่อ แม่มองหน้าฉันแล้วพูดว่า

"แม่เชื่อว่าเด็กที่เคยหาเงินด้วยตัวเองมาก่อนตั้งแต่อายุเท่าๆ กับลูก จะต้องเป็นเด็กที่มีความรับผิดชอบ รู้คุณค่าของเงินทุกบาททุกสตางค์ว่ากว่าจะได้มามันเหนื่อยยากขนาดไหน และคนที่มีความรับผิดชอบนะ จะไม่มีทางขโมยของใครนอกจากจะจำเป็นจริงๆ เมื่อเขาไม่มีทางอื่นให้เลือกแล้วเท่านั้น"

ฉันฟังแล้วก็ถามแม่ต่อว่า

"แล้วต่อไปถ้าเขามาขอเงินแม่ไปซื้อยาอีก แม่จะให้เขารึเปล่า"

"ให้สิลูกถ้ามันไม่มากไม่มายอะไร"

"แล้วแม่ไม่เสียดายเงินหรอ บ้านเราก็ไม่ได้ร่ำรวยเหมือนบ้านป้าหนอมเขานะแม่"

"ถึงแม่จะไม่มีเงินทองมากนัก แต่การที่ได้ช่วยเหลือคนที่กำลังลำบากน่ะ มันทำให้แม่มีความสุข แล้วยังได้บุญอีก
ด้วยนะ แค่นี้แม่ก็พอใจแล้ว ไม่อยากได้อะไรตอบแทนหรอก"

แล้วแม่ก็พูดต่ออีกว่า

"จำไว้นะลูก คนเรานะ ต้องรู้จักให้อภัยและให้โอกาสคนอื่นแก้ตัวเสมอ อย่างเด็กคนนั้น..แม่มั่นใจว่าแกทำไปเพราะรักคุณแม่ของแกจริงๆ แม่ถึงช่วยแกเอาไว้"


แล้วแม่ก็พูดต่อว่า 

" ลูกอาจจะบอกว่าขโมยเป็นสิ่งที่ผิด ใช่...แม่ไม่เถียง แต่บางครั้งคนเราก็ต้องมองด้านอื่นๆ บ้าง อย่าคิดแต่เรื่องทรัพย์สินเงินทอง ตอนนี้ลูกอาจจะยังฟังไม่เข้าใจ แต่แม่เชื่อว่าสักวันลูกจะเข้าใจเองแหละ"

          หลังจากนั้น ฉันกับแม่ก็หันไปคุยเรื่องอื่นๆ กันต่อ ฉันเองไม่เคยคิดเรื่องนี้อีกเลย จนเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้น ทำให้ฉันต้องย้อนกลับมาคิดถึงเรื่องนี้อีกครั้งทั้งน้ำตาว่าคำพูดของแม่ในครั้งนี้ถูกต้องที่สุดจริงๆ


          หลังจากนั้นฉันเรียนจบระดับปริญญาตรีจากสถาบันราชภัฏแห่งหนึ่งในตัวจังหวัด แล้วฉันก็ได้งานทำในโรงงานแห่งหนึ่งในตัวจังหวัดนั้นเอง เงินเดือนก็พอประมาณ สามารถเลี้ยงดูแม่ได้โดยไม่ขัดสนนัก ฉันก็เลยขอร้องให้แม่หยุดรับจ้างเย็บผ้า เพราะอยากให้แม่พักผ่อนบ้างหลังจากทำงานหนักมาเกือบ 20 ปีเพื่อส่งฉันเรียน แม่ยอมปิดร้าน แต่ก็ยังรับงานเล็กๆ น้อยๆ ของเพื่อนบ้านมาทำบ้างโดยไม่คิดเงิน แม่บอกว่าถ้าไม่ได้ทำอะไรเลยจะรู้สึกเบื่อ ฉันก็เลยต้องยอมตามใจแม่

          ฉันทำงานอยู่ประมาณ 2-3 ปี แม่ก็เริ่มรู้สึกไม่สบาย เริ่มจากปวดหัวบ่อยขึ้น ช่วงแรกๆ ไม่กี่วันก็หาย หลังจากนั้นก็เริ่มเป็นนานขึ้นเรื่อยๆ ฉันบอกให้แม่ไปหาหมอ แล้วฉันก็พาแม่ไปหาหมอในเมือง หมอบอกว่าไม่เป็นอะไรมาก แค่ทำงานหนักมากเกินไป หมอให้ยามาชุดหนึ่งพร้อมกำชับให้พักผ่อนมากๆ จะได้หายเร็วๆ
          
          หลังจากกินยาตามที่หมอสั่ง อาการปวดหัวของแม่ก็หายไป ฉันเริ่มสบายใจขึ้น แต่หลังจากไปหาหมอได้ประมาณหนึ่งเดือน แม่ก็เริ่มกลับมาปวดหัวอีก คราวนี้เป็นหนักมากกว่าครั้งที่แล้ว ยาที่เคยกินแล้วได้ผลมาก่อนก็ไม่ได้ผลเลย ฉันกังวลใจมาก พอถามหมอ หมอก็บอกว่าต้องไปตรวจที่โรงพยาบาลในกรุงเทพฯ เพราะว่าเครื่องไม้เครื่องมือพร้อมกว่าโรงพยาบาลต่างจังหวัด

          หลังจากนั้นฉันรีบพาแม่ไปกรุงเทพฯ ทันที ไปยังโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง หลังจากหมอตรวจแล้วบอกว่ามีเนื้องอกในสมองต้องผ่าตัดโดยด่วน หากปล่อยทิ้งไว้อาจไปทับเส้นประสาททำให้เป็นอัมพาตได้ หรือถ้าผ่าตัดไม่ทันก็อาจร้ายแรงถึงขั้นเสียชีวิต ฉันตกใจมากขอให้หมอผ่าตัดให้ทันที แต่หมอบอกว่าโรงพยาบาลที่มีหมอผ่าตัดสมองที่มีความพร้อมที่จะผ่าตัดเนื้องอกในสมองเป็นอีกโรงพยาบาลหนึ่ง ซึ่งมีชื่อเสียงมากกว่า ดังนั้นหมอจึงต้องส่งตัวคนไข้ไปยังโรงพยาบาลนั้น ฉันก็ตกลง

          หลังจากถูกส่งตัวมายังโรงพยาบาลดังกล่าวแล้ว แม่ก็ถูกส่งตัวเข้าห้องผ่าตัดทันที ขณะที่ฉันรออย่างกังวลใจอยู่ด้านนอก ทั้งเรื่องอาการป่วยของแม่ และจากคำพูดของหมอที่ทิ้งท้ายไว้ก่อนส่งตัวแม่มาที่โรงพยาบาลแห่งนี้ หมอบอกให้ทำใจไว้บ้าง เพราะการผ่าตัดสมองเป็นการผ่าตัดที่เสี่ยงมาก โอกาสที่คนไข้จะเสียชีวิตมีมาก แม้การผ่าตัดจะประสบความสำเร็จก็ตาม อีกเรื่องก็คือค่าใช้จ่ายในการผ่าตัดสมองค่อนข้างสูง เป็นหลักแสนบาท เมื่อรวมกับค่ายา ระหว่างพักฟื้น คิดแล้วน่าจะต้องใช้เงินราวๆ ห้าแสนบาท

          ฉันได้ยินแล้วแทบลมจับ ฉันจะไปหาเงินห้าแสนบาทมาจากไหน ลำพังเงินเก็บของฉันกับแม่ยังมีไม่ถึงห้าหมื่นบาทเลย แต่ยังไงฉันก็ต้องรักษาแม่ให้หาย ส่วนเรื่องเงินไว้คิดทีหลัง
หลังการผ่าตัดเสร็จสิ้นลง เป็นโชคดีของแม่ที่การผ่าตัดประสบผลสำเร็จ และไม่มีอาการแทรกซ้อนใดๆ ทางโรง พยาบาลบอกให้พักฟื้นประมาณหนึ่งเดือนก็สามารถไปพักฟื้นที่บ้านได้ ทางโรงพยาบาลแจ้งรายการค่าใช้จ่ายทั้งหมดมาให้ฉัน ปรากฎว่าเป็นเงินจำนวนไม่ถึงหนึ่งพันบาท เป็นค่าติดต่อประสานงานเท่านั้น

          ฉันแปลกใจมาก จึงสอบถามกับนางพยาบาล นางพยาบาลบอกว่าคุณหมอที่เป็นคนผ่าตัด และเป็นเจ้าของไข้บอกไม่ให้คิดเงินกับฉันและแม่ โดยที่ทางโรงพยาบาลก็ไม่ทราบสาเหตุ ฉันจึงขอพบคุณหมอคนนั้นเพื่อขอบคุณ นางพยาบาลบอกว่าหลังจากเสร็จคุณหมอก็ถูกส่งตัวไปต่างประเทศทันทีเพื่อศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับการผ่าตัดสมองที่อเมริกา แต่คุณหมอได้ฝากจดหมายไว้ให้ฉันกับแม่ โดยกำชับกับทางโรงพยาบาลให้ฝากให้ฉันพร้อมกับใบเสร็จค่าใช้จ่ายอื่นๆ ของทางโรงพยาบาลในวันที่แม่สามารถออกจากโรงพยาบาลได้

          เมื่อกลับถึงบ้าน ฉันกับแม่ก็เปิดอ่านจดหมายของคุณหมอคนนั้น เมื่ออ่านจบทั้งฉันและแม่ก็ร้องไห้ออกมาพร้อมกัน เนื้อความในจดหมายมีดังนี้

'ข้าพเจ้านายแพทย์เดชา ทองวิจิตร แพทย์ผู้ผ่าตัด นางสมพร ภู่จันทร์ ขอสรุปค่าใช้จ่ายในการผ่าตัดทั้งหมดดังนี้

ค่าผ่าตัด 0 บาท
ค่ายาทั้งหมด 0 บาท
ค่าใช้จ่ายอื่นที่เหลือ 0 บาท
รวมเป็นเงินทั้งหมด 0 บาท

ป.ล. ค่าใช้จ่ายทั้งหมดได้รับแล้ว เมื่อยี่สิบปีก่อนด้วยยาแก้ปวด ยาธาตุ ส้มหนึ่งถุง
ขอให้สุขภาพแข็งแรงไปอีกนานๆ นะครับคุณน้า

นายแพทย์เดชา ทองวิจิตร




ท้อได้ แต่ต้องไม่ถอย...นะจ๊ะ




:‧ .。.:*・●•♪.



หากเหนื่อยนักขอจงหยุดพักเสียก่อน อย่าใจร้อนรีบไปเดี๋ยวมันไม่เข้าที
หยุดเรื่องรักที่ทรมาน เรื่องงานเรื่องเงินก็ดี พักซักทีเดี๋ยวค่อยไป

อย่าไปคิดเรื่องเดิมให้มันปวดใจ ซ่อนเอาไว้ไม่ให้ใครเห็นความพ่ายแพ้
เก็บให้ลึกลงข้างในหัวใจที่อ่อนแอ เหลือเพียงแค่รอยยิ้มของนักสู้

ฉันก็เคยเสียใจไม่น้อยกว่าเธอ และฉันก็เจอเรื่องราวร้ายๆเข้ามา
แต่ทุกๆทีฉันก็ทำ ให้เป็นเหมือนดังว่าแข็งแรงกว่า ไม่ยอมพ่ายแพ้มัน

กว่าจะถึงฝั่งฝันนั้นมันยากเย็น อย่าพึ่งเห็นฉันเดินเข้ามาง่ายๆ
กว่าจะถึงที่ฉันยืน กล้ำกลืนฝืนทนเกือบตาย น้ำตาผู้ชายเคยไหลไม่ใช่เรื่องแปลก

ฉันก็เคยเสียใจไม่น้อยกว่าเธอ และฉันก็เจอเรื่องราวร้ายๆเข้ามา
แต่ทุกๆทีฉันก็ทำ ให้เป็นเหมือนดังว่าแข็งแรงกว่า ไม่ยอมพ่ายแพ้มัน

ฉันก็เคยเสียใจไม่น้อยกว่าเธอ และฉันก็เจอเรื่องราวร้ายๆเข้ามา
แต่ทุกๆทีฉันก็ทำ ให้เป็นเหมือนดังว่าแข็งแรงกว่า ไม่ยอมพ่ายแพ้มัน

ฉันก็เคยเสียใจไม่น้อยกว่าเธอ และฉันก็เจอเรื่องราวร้ายๆเข้ามา
แต่ทุกๆทีฉันก็ทำ ให้เป็นเหมือนดังว่าแข็งแรงกว่า ไม่ยอมพ่ายแพ้มัน

ฉันก็เคยเสียใจไม่น้อยกว่าเธอ และฉันก็เจอเรื่องราวร้ายๆเข้ามา
แต่ทุกๆทีฉันก็ทำ ให้เป็นเหมือนดังว่าแข็งแรงกว่า ไม่ยอมพ่ายแพ้มัน




:‧ .。.:*・●•♪.

ใกล้ หรือ ไกล?


"พักนี้เริ่มเห็นบ่อยจริงๆนะ นั่งกินข้าวด้วยกันแท้ๆ ดันคุยกับคนไกล แล้วคนใกล้ล่ะ..?"

คุณค่า...


...นักพูดที่เป็นที่รู้จักกันดีท่านหนึ่งได้เริ่มหยุดการสัมมนาของเขาโดยการหยิบแบงค์พัน ขึ้นมา

ในห้องที่มีผู้เข้าร่วมสัมมนา 200 ท่าน แล้วเขาก็พูดว่า      
          "ใครอยากได้แบงค์พันนี้บ้าง"

มือได้ถูกยกขึ้นจำนวนมาก และเขาก็พูดต่อว่า..
          "ฉันจะให้เงินแบงค์พันนี้แก่หนึ่งในพวกท่านแต่ตอนแรกฉันจะทำอย่างนี้"

เขาเริ่มที่จะขยำเงินนั้นแล้วเขาก็ถามอีกว่า..
          ".ใครยังต้องการมันอีก"

ยังคงมีมือที่ยกขึ้นอีก
           "ดี" เขาตอบ

           "แล้วถ้าฉันทำอย่างนี้ล่ะ"

และเขาก็ทิ้งมันลงที่พื้นและเริ่มเหยียบย่ำมันด้วยรองเท้า(ไม่น่าเลย  ) มันทั้งยู่ยี่และสกปรก
           "ตอนนี้ยังมีใครต้องการมันอีก"

ก็ยังมีคนยกมืออีก  

       "เพื่อนๆ คุณได้เรียนรู้บทเรียนที่มีคุณค่าค่ามากที่สุดบทหนึ่งว่า..
ไม่ว่าฉันจะทำอะไรกับเงิน คุณก็ยังต้องการมันอยู่ เพราะว่ามันมันไม่ได้ลดคุณค่าในตัวของมันลงเลย
 มันก็ยังมีค่าเป็นเงิน 1,000 บาทอยู่นั่นเอง"
      


   เหมือนกับหลายๆครั้งในชีวิตของคนเรา ที่ถูกเหยียบย่ำและถูกทำให้สกปรก
สิ่งเหล่านั้นอาจจะทำให้คุณรู้สึกว่าคุณค่าของตัวเองลดน้อยลง แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น
คุณก็ไม่เคยสูญเสียคุณค่าของตัวคุณ คุณยังเป็นคนพิเศษและมีคุณค่าในตัวเองตลอดไป...





อ้างอิง http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=9292

ขำๆ นะ

เรื่องของ...โอกาส

ที่เมืองหนึ่งของประเทศกรีก






เคยมีรูปปั้นแกะสลักตั้งอู่ใจกลางเมือง



ปัจจุบันนี้ รูปปั้นนี้ไม่เหลือแม้แต่ซาก
แต่แผ่นที่จารึกที่บรรยายเกี่ยวกับรูปปั้นยังคงเหลืออยู่

คำบรรยายเขียนไว้ในรูปแบบการสนทนาระหว่างรูปปั้นกับคนที่เดินผ่านไปมา


"รูปปั้นเอ๋ย ท่านชื่ออะไร"
"ฉันชื่อโอกาส"

"ใครเป็นคนแกะสลักท่านขึ้นมา"
"ช่างแกะสลักชื่อ ลีซีปัส"

"ทำไมท่านจึงยืนเขย่งเท้า?"
"เพื่อบ่งบอกว่าฉันอยู่เพียงชั่วครู่ชั่วยาม"

"แล้วทำไมที่เท้าของท่านจึงมีปีก"
"เพื่อแสดงให้เห็นว่าฉันจะผ่านไปอย่างรวดเร็ว"

"แต่ทำไมผมด้านหน้าของท่านจึงยาวอย่างนี้"
"ก็เพื่อให้คนที่พบฉันจะได้จับฉวยไว้ได้ง่าย"

"แล้วทำไมหัวด้านหลังของท่านจึงล้าน ไม่มีผมแม้แต่เส้นเดียว"
"ก็เพื่อแสดงให้เห็นว่า เมื่อฉันผ่านไปแล้วก็ยากที่จะจับฉันได้ใหม่"

จริงด้วย ทางด้านหน้าของ "โอกาส"
มีผมยาวแต่ด้านหลังล้านเกลี้ยงเพราะเมื่อปล่อยให้

"โอกาส"

ผ่านไปแล้ว ก็ยากที่จะจับยึดมันกลับมาได้อีก
"โอกาส" จึงเร้าเตือนเราทุกคนว่า

"อย่ามาต่อว่าฉัน ว่า ฉันไม่เคยมาเยี่ยมกราย
เพราะบ่อยครั้งเหลือเกินที่ฉันมาเคาะประตู
แต่เธอกลับไม่อยู่บ้าน

ทุกวัน ฉันยืนรออยู่ที่หน้าบ้านเธอ
เรียกให้เธอตื่น ให้ขยันขันแข็ง
ให้รีบตัดสินใจ
ให้ลงมือทำ
ให้ออกแรง ให้สู้
เพื่อจะได้มาซึ่งชัยชนะและความสำเร็จ

จงอย่าปล่อยให้ฉันผ่านไป
เธอจะได้ไม่ต้องนั่งเสียใจในภายหลัง
ที่ฉัน "โอกาส" ผ่านมา แต่เธอไม่รู้จักจับฉวย"

"โอกาสมีอยู่ทุกวัน ทุกเวลา แต่จะมีสักกี่คนที่มองเห็น และคว้ามันไว้..."


สัจธรรมในที่ทำงาน



จะเศร้าไปทำไมกัน?

การ์ตูนไทย 'ณ เวลานั้น'

ดูแล้วอบอุ่นดีนะ

ยามท้อ... คุณต้องการกำลังใจ ;)

ด้วยตัวเรา...

ความเงียบและดนตรี

สวัสดีครับ
ในฐานะที่พี่เป็นนักแต่งเพลง พี่ชอบ “ความเงียบ” หรือ “ดนตรี” มากกว่ากัน
พิมพ์จันทร์ เอมตูลาภรณ์


---------------------------------------------------------------------------------------------

ไม่ว่าจะในฐานะอะไรก็ตาม ผมก็ชอบทั้ง “ดนตรี” และ “ความเงียบ” ชอบทั้งสองอย่างต่างกรรมต่างวาระกัน บางครั้งก็ชอบทั้งสองอย่างในกรรมเดียวกัน วาระเดียวกัน ถ้าจะให้ความหมายของ “ดนตรี” เป็น “อารมณ์” และให้ความหมายของ “ความเงียบ” เป็น “ความคิด” น่าจะถูกใจผมที่สุด


ได้ยินดนตรีด้วยหัวใจ ได้ยินความเงียบด้วยสมอง


เวลาที่มนุษย์โลกมีความสุขหรือหมองเศร้านั้น ไม่น้อยกว่าครึ่งถูกผลักดันด้วยเสียงเพลงแทบทั้งสิ้น แม้แต่หัวใจที่พองโตของกองเชียร์และนักกีฬา เพลงเชียร์ก็ทำหน้าที่ปลุกเร้าใจให้


ชีวิตส่วนที่รื่นรมย์ของผมก็ล้วนแวดล้อมด้วยดนตรี เว้นแต่เวลาทำงานเท่านั้น เวลาที่ผมทำงาน โดยเฉพาะงานเขียน เชื้อเพลิงอันประเสริฐของผมคือ “ความเงียบ” ครับ และก็เป็นอย่างนี้มาตั้งแต่อ่านหนังสือสอบตอนชั้นประถมแล้ว คนอื่นๆ ก็ไม่น่าผิดแผกไปจากนี้ 


ถ้าจะมองกันอย่างลึกซึ้ง เราไม่อาจแยก “ความเงียบ” ออกจาก “ดนตรี” ได้เลย ถ้าจะมีใครสักคนบอกว่า ความเงียบก็คือช่วงก่อนดนตรีเริ่มและหลังดนตรีจบ ผมก็ชวนให้ลองฟังเรื่องนี้ดู เพราะในความเป็นจริง ความเงียบไม่ได้ทำหน้าที่เพียงแค่นั้น


ความเงียบเป็นสาระของดนตรีด้วยตัวของมันเอง


ลองฟังเรื่องของ จอห์น เคท ดูนะครับ
จอห์น เคท เปิดคอนเสิร์ตในหอดนตรีกลางนครนิวยอร์ก ชื่อ “SILENT CONCERT” ใครๆ ก็พากันเดากันไปต่างๆ นานาว่า นักดนตรีหัวก้าวหน้าคนนี้จะแสดงอะไร

เมื่อแสงไฟหรี่ลง การแสดงของเขาก็เริ่มขึ้น เขาเดินมาที่เปียโนกลางเวที หลังจากโค้งคนดูรับเสียงปรบมือเรียบร้อย เขาเอามือวางบนเปียโนอย่างแผ่วเบา…เงียบครับ…มีแต่ความเงียบ


เงียบอยู่อย่างนั้นไม่ต่ำกว่า 3 นาที เขาเอามือออกพลิกกระดาษโน้ต ซึ่งเขาให้สัมภาษณ์ภายหลังว่านั่นคือเพลงผ่านไป ๑ มูฟเม้นต์ แล้วเขาก็เอามือวางอย่างแผ่วเบาอีกครั้ง แน่นอนครับ คนดูเดากันไปอีกว่า ไอ้หมอนี่จะมาไม้ไหน


เงียบอีก…คราวนี้ก็เงียบไปอีกไม่ต่ำกว่า ๓ นาที เขาพักมือและวางมือใหม่ มูฟเม้นต์ที่สามกำลังจะเริ่ม คราวนี้ทุกคนไม่เดาแล้วครับ ทุกคนเตรียมพร้อมที่จะฟัง “ความเงียบ” อย่างเต็มใจ






คอนเสิร์ต “SILENT” ของเขาจบลงด้วยเสียงปรบมือสนั่นหอ 


ประโยคทองของเขาเกี่ยวกับการแสดงดนตรีครั้งนี้ก็คือ



“คนนิวยอร์กไม่เคยฟังความเงียบ”





ฟังดูดีๆ นะครับ “ความเงียบ” ยังใช้คำว่า “ฟัง” 





นี่มันเซ็นชัดๆ







คนที่เป็นนักดนตรีจะเข้าใจเรื่องนี้ได้ไม่ยาก เพราะในโน้ตเพลงนั้นจะมีตัวโน้ตอยู่ประเภทหนึ่งที่เขาเรียกว่าโน้ตตัวหยุด ซึ่งก็คือ เป็นตัวโน้ตอย่างหนึ่ง เพลงแทบทุกเพลงบนโลกนี้ต้องประกอบด้วยโน้ตตัวหยุดผสมอยู่บ้างไม่มากก็น้อย


นั่นหมายความว่า กระดาษโน้ตของคุณจอห์น ก็คงมีแต่โน้ตตัวหยุดทั้งแผ่น บ้าดีไหมครับ จะว่าเขาไม่ได้แต่งเพลงมาแสดงดนตรีก็ไม่ได้ จะว่าเขามาทำท่ามั่วๆ บนเวทีก็ไม่ได้อีก เพราะเขามีแผ่นโน้ตมาด้วย


ความเงียบของคุณจอห์น ไม่ได้ทำหน้าที่เพียงก่อนเริ่มดนตรีหรือหลังดนตรีจบ มันเป็นสรณะของดนตรีเลยด้วยซ้ำ ไม่เชื่อลองกลับไปฟังเพลงโปรดของเราแต่ละคนดูอีกครั้งสิครับ บางที่เราอาจจะได้ยินความเงียบอยู่ในนั้น


พูดถึง SILENT (ความเงียบ) ผมก็เพิ่งสังเกตเห็นว่า 
คำคำนี้มันประกอบด้วยตัวอักษรตัวเดียวกันครับทุกตัวกับ LISTEN (ฟัง) เพียงแต่เรียงตัวอักษรต่างกัน


ต้องมีใครเล่นตลกกันเราแน่ๆ


 มาลองฟังเพลงกันครับ ว่าความเงียบนั้นมันช่างไพเราะเพียงใด
...ดนตรีไม่ใช่แค่การได้ยิน แต่คือการ สัมผัส และ เข้าถึง ด้วยหัวใจ
"เสียงในความเงียบ"





อ้างอิง "หนังสือ คุยกับประภาส ลำดับที่ 1"

พระพยอม กลฺยาโณ กล่าวไว้...

‎[พระพยอม กลฺยาโณ] 


เราเกิดมาตัวเปล่าเราไม่มีอะไรเลย เงิน ทอง สิ่งของ ลูก แฟน ล้วนมามีทีหลัง 


ดังนั้น เมื่อเราเสียสิ่งนั้นไป ให้คิดซะว่า ก่อนหน้านี้เราไม่เคยมีสิ่งนั้นมาก่อน 


ถ้ามัวแต่ไปทุกข์มันจะเสียเวลาปล่าว เวลาบนโลกนี้มีไม่มาก อย่าไปเสียเวลากับความทุกข์ให้มากนัก



ประโยคสั้นๆ

หญ้ารกๆ หลังบ้านอาจจะไร้ประโยชน์ แต่สำหรับมดแล้ว
หญ้ารกๆ กอนั้นสามารถผลิตออกซิเจนไว้ให้มดเป็นพันๆ ตัวใช้ดมได้


การเหยียบอีกฝ่ายหนึ่งให้จมโดยใช้ชาติพันธุ์มาแบ่งแยก
ยอมรับได้แค่เป็นความคิดของเด็กๆ เท่านั้น
มนุษย์น่าจะยอมรับนับถือมนุษย์ด้วยกัน
ที่ข้างในหัวใจมากกว่านับถือกันที่ชาติพันธุ์


คนเราไม่ได้เรียนวิชาเพื่อเอาไปประกอบอาชีพเพียงอย่างเดียว
การเรียนรู้ไม่ว่าจะในโรงเรียนหรือที่ไหน
นอกจากเอาไว้ประกอบอาชีพแล้ว 
เราเรียนเพื่อจะเป็นมนุษย์ที่ดีด้วย


อ้างอิง บทความของคุณประภาส ชลศรานนท์

เศรษฐีกับชาวนา














Smile is Beautiful

Smile is Beautiful
แค่...ยิ้ม...โลกก็สดใส