Bang-Punn

แบ่งปันรอยยิ้ม ^-^

แม่เภามาเยี่ยม

"แม่จะบอกอะไรให้คนเราน่ะ
เลือกที่จะได้ยินเสียงอะไรก็ได้ที่ตัวเองอยากได้ยิน
ได้เห็นอะไรก็ได้ที่ตัวเองอยากเห็นเสมอ
เราเลือกได้นะลูก"

...ตั้งแต่พิมพ์ดีลูกสาวคนเล็กสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ ก็เพิ่งครั้งนี้แหละที่แม่เภาได้มานอนค้างกับลูกที่หอพักเอกชนข้างๆ มหาวิทยาลัย

"แม่ได้ยินไหม" พิมพ์ดีเอ่ยปากถามทันทีที่แม่เภาออกจากห้องน้ำ

แม่เภาเอาผ้าเช็ดตัวมาตากที่ราวตากผ้าในห้อง "เสียงอะไรหรือ"

"ก็เสียงที่มันดังเข้ามาทางบานเกล็ดห้องน้ำน่ะ" ลูกสาวตอบ

"ด้านหลังห้องน้ำมันเป็นครัวของร้านอาหารอีกซอยหนึ่ง พวกแม่ครัวพวกเด็กเสิร์ฟเขาคุยกันเสียงดังจริงๆ"

แม่เภาเดินมานั่งที่หน้าต่าง "อ๋อ...ได้ยิน ก็ไม่เห็นมีอะไรนี่ ฟังเขาคุยกันเลินดีนี่ ได้รู้สูตรอาหารด้วย"

"เพลินตรงไหนกันแม่" พิมพ์ดีเดินตามมานั่งด้วย

แม่เภาไม่ตอบ สะกิดลูกสาวให้ดูนอกหน้าต่าง "กินซาลาเปาไหม เดี๋ยวแม่ลงไปซื้อให้"

"ทำไมแม่รู้ล่ะว่ามีขาย" พิพม์ทำหน้าสงสัย "แม่เพิ่งถึงเมื่อคืน แล้วร้านเฮียเขาก็ขายแต่ตอนเช้ากับตอนกลางวัน"

"แกไม่ได้ยินเสียงเปิดฝาหม้อหรืออย่างไร" แม่เภาลุกขึ้นล้วงกระเป๋าสตางค์ "เสียงฝาหม้อนึ่งแบบนี้ฟังอย่างไรก็ฟังออก จะเอาไส้อะไรยายพิมพ์"

"หนูเอาขนมจีบดีกว่า" พิมพ์ดีดึงชายเสื้อแม่เภาเบาๆ

"แม่..เรื่องย้ายหอพักแม่ว่าไง หอนี้หนูไม่ชอบจริงๆนะ"

เสียงดังรบกวน แม่ก็ได้ยินใช่มั้ย ด้านหน้านี่จอแจไปหมดทั้งเสียงรถวิ่ง 

เสียงคนร้องขายของ ด้านห้องน้ำก็ติดครัวร้านอาหาร เสียงคนคุยกันทั้งนั้น

"แม่กลับว่าดูแล้วสนุกดี เวลามีคนซื้อขายนี่มันดูมีชีวิตชีวาออก"

แม่เภาเปลี่ยนเรื่อง "แล้วยายแก้วรูมเมทแกเป็นอย่างไรบ้าง นี่ไปออกค่ายยังไม่กลับใช่ไหม"

"นิสัยก็ดีอยู่หรอก เสียอย่างเดียวนอนกรน ผู้หญิงอะไรก็ไม่รู้" พิมพ์ดีบ่นกระปอดกระแปดต่อ "แม่หัวเราะอะไร"

แม่เภาเดินยิ้มไปที่ประตูห้อง "แกยังไม่รู้ตัวยายพิมพ์ เมื่อคืนแกก็นอนกรน ตกลงเอาขนมจีบนะ แต่เดี๋ยวแม่เอาซาลาเปามาเผื่อด้วย"

"ไม่จริงหรอกแม่ หนูกรนที่ไหนกัน" พิมพ์ดีตาเขียวที่ถูกหาว่าตัวเองนอนกรน

........................

ระหว่างทางเดินจากหอพักไปมหาวิทยาลัย

"แม่นั่งรถเมล์สาย 34 หน้ามหาวิทยาลัยไปลงอนุสาวรีย์ชัยฯ แล้วแม่ก็ค่อยไปต่อรถไปบางซื่อ" พิมพ์ดีบอกทาง 

"แม่ส่งกระเป๋าใบใหญมา หนูช่วยถือ"

"ถ้าถึงอนุสาวรีย์แล้วแม่ไปถูก" แม่เภาส่งกระเป๋าให้ลูสาว

"แม่ค้างบ้านป้าไพแค่คืนเดียว แล้วมะรืนก็จะไปเยี่ยมยายน้อยที่สงขลาแล้ว"

เดินเงียบสักพัก พิมพ์ดีก็พูดขึ้นมา

"แม่.. ย้ายหอพักได้ไหม เพิมอีกเดือนละแค่สี่ร้อยเอง เลยไปอีกสองช่วงตึก แล้วก็ไม่พลุกพล่านด้วย"

คราวนี้พิมพ์ดีใช้ลูกอ้อน

"ใครว่าเดือนละแค่สี่ร้อย ตั้งสี่ร้อยก็ไม่ว่า สี่ร้อยนี่ปีหนึ่งสี่พันแปดนะ" แม่เภาใช้วิชาเศรษฐศาสตร์

"สี่พันแปดเอาไปซื้อหนังสือเรียนไม่ดีกว่าหรือ"

"อีกหอหนึ่งมันเงียบกว่านะแม่" ลูกสาวยังคงอ้อน

"ไม่รู้สิย้ายพิมพ์ ไอ้ที่แกว่าเงียบๆ แม่ก็เดินไปดูมาเมื่อเช้า ตอนลงไปซื้อซาลาเปา แม่ว่ามันเงียบจนไม่น่าไว้ใจ"

"ไม่น่าไว้ใจ..." พิมพ์ดีทวนคำ

"ราคาขนาดนั้น ใหม่นาดนั้น แล้วไม่มีคนพักเลย บางทีมันอาจจะเปลี่ยวเกินไปก็ได้ 
แล้วไอ้ที่แกอยู่ทุกวันนี้ แม่ว่ามันก็ไม่เห็นจะหนวกหูตรงไหน แม่ว่ามันก็น่ารักดีเป็นหอพักเล็กๆร้ายขายของก็เยอะ
หาของกินได้สะดวก"

สองแม่ลูกเดินเถียงกันจนมาถึงหน้าป้ายรถเมล์หน้ามหาวิทยาลัย

"แม่ไม่หนวกหู แต่หนูหนวกหูนี่ แล้วก็ยายแก้วรูมเมทหนูอีก"

ลูกสาวแม่เภาพูดขึ้นหลังจากเงียบไปนาน

แม่เภาขัดขึ้นทันที "ไม่ต้องพูดเรื่องนี้เลยยายพิมพ์ แกก็บอกเองว่ายายแก้วนิสัยดี 
เหตุผลที่ไม่เกี่ยวแกอย่าชักแม่น้ำมารวมด้วย แม่ไม่ชอบ แล้วถ้าแกพูดเผลอไปเรื่อยเดี่ยวจะกลายเป็นว่าเพื่อนแกไม่ดีไปอีกคน
อีกอย่างแกอยู่ที่หอนี้อีกปีเดียวแกก็ได้คิวเข้าไปอยู่หอพักของมหาลัยแล้วนี่"

"ใครว่าแค่ปีเดียว ตั้งสิบสิงเดือนไม่ว่า" พิพม์ดีใช้วิธีการเดียวกับแม่เภาย้อนเอาบ้าง

แม่เภาเงียบไป

"แม่..ให้หนูใช้เงินที่เก็บไว้ในธนาคารมาช่วยแม่ออกค่าเช่าหอใหม่ก็ได้นะ เพิ่มอีกเดือละสี่ร้อย ให้หนูออกร้อยหนึ่งก็ได้"

พิพม์ดียังไม่ยอมแพ้

แม่เภาเงียบเหมือนคิดอะไรอยู่

"เอ้า.. ให้หนูออกสองร้อยก็ได้คนละครึ่ง" พิมพ์ดีรุกอีก

แม่เภาโบกมือให้ลูกสาวหยุดพูกแล้วก็ลงนั่งยองๆ วางกระเป๋าใบเล็กลงข้างๆ กอต้นกระดุมทองที่ปลูกอยู่ข้างทางหน้ามหาวิทยาลัย

"มีอะไรหรือแม่" พิมพ์ดีนั่งลงตาม

แม่เภาค่อยๆ แหวกต้นกระดุมทองออก

"ทองดำเสียด้วย"

จิ๊งหรีดตัวขนาดนิ้วก้อยเด็ก กระโดดออกมาจากกอกระดุมทองที่แม่เภาแหวกเป็นทางออก

แล้วก็กระโดดมาเกาะอยู่บนใบกระดุมทอง

"สีดำขลับจริงๆตัวนี้ เออ..ไม่น่าเชื่อว่าในกรุงเทพฯ จะยังมีจิ้งหรีดอยู่" แม่เภาลุกขึ้นยืน

พิมพ์ลุกยืนตามด้วยสีหน้าสงสัย "แม่รู้ได้อย่างไรว่ามีจิ้งหรีดอยู่ในพุ่มไม้"

"นี่ยายพิมพ์แกไม่ได้ยินเสียงหรือไง มันร้องออกดังอย่างนั้น" แม่เภายิ้ม

"เสียงรถเมล์บนถนนดังอย่างนี้นี่นะ" พิมพ์ดีแปลกใจว่าแม่ได้ยินได้อย่างไร แล้วคนบนท้องถนนที่ป้ายรถเมล์อีกเล่า

ทำไมไม่เห็นมีใครได้ยินอย่างแม่

"พิมพ์ดี แม่จะบอกอะไรให้คนเราน่ะเลือกที่จะได้ยินเสียงอะไรก็ได้ที่ตัวเองอยากได้ยิน 
ได้เห็นอะไรก็ได้ที่ตัวเองอยากเห็นเสมอ เราเลือกได้นะลูก"

แม่เภามองไปรอบๆ "คอยดูอะไรนะยายพิมพ์"

แม่เภาหยิบเหรียญห้าออกมาเหรียญหนึ่งทิ้งลงไปบนถนน คนแถวป้ายรถเมล์สองสามคนหันมาตามเสียง

"เสียงรถราบนถนนยังดังเหมือนเมื่อกี้ แต่คราวนี้มีคนได้ยินแล้ว"

ว่าแล้วแม่เภาก็ก้มลงเก็บเหรียญห้าบาทขึ้นมา

พิมพ์ดียังคงหันไปมองจิ้งหรีดตัวนั้นนิ่งอยู่

"สาย 34 มาแล้ว" แม่เภารับกระเป๋าใบใหญ่มาจากลูกสาว

"ปิดเทอมนี้กลับบ้านนะลูก"

พิมพ์ดีส่งกระเป๋าให้แม่ "ฝากความคิดถึงป้าไพกับพี่น้อยด้วย"

ไม่รู้ว่าแม่เภาคิดไปเองหรือเปล่าที่เห็นสีหน้าของพิมพ์เปลี่ยนไปเหมือนมีรอยยิ้มน้อยๆ อยุ่ประทับอยู่

แม่เภาชอบใบหน้าของลูกสาวแบบนี้มากกว่า

    ตัวแม่เภาเองก็ไม่เคยถามหรอกว่าลูกสาวคิดอย่างไรในวันนั้น
รู้แต่ว่าสิบสองเดือนก่อนที่พิพม์ดีจะได้คิวเข้าไปอยู่หอพักของมหาวิทยาลัย
พิพม์ดีไม่เคยพูดเรื่องขอย้ายหอพักอีกเลย

อ้างอิง "ประภาส ชลศรานนท์"

2 ความคิดเห็น:

Unknown 11 ธันวาคม 2553 เวลา 08:51  

อ่านแล้วชอบมากครับ เกินคุ้มสำหรับ 79 บาทมากครับ สำหรับแม่เภา

Unknown 11 ธันวาคม 2553 เวลา 12:16  

ผมเพิ่งเห็นหนังสือวันนี้เองครับ 555

ว่าจะซื้อมาเก็บไว้ครับ ^^

Smile is Beautiful

Smile is Beautiful
แค่...ยิ้ม...โลกก็สดใส